การเปลี่ยนแปลง

กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
จงเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลง
                                                                                                แจ็ค เวลซ์ ผู้บริหาร “จีอี”

การเปลี่ยนแปลง คือการเปลี่ยนแปลงจากเดิมๆที่เป็นอยู่ไปสู่เส้นทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่กว่าเดิม ในชีวิตคนเรานั้นการเปลี่ยนแปลงมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงชีวิตการทำงาน อย่างเช่นชีวิตการทำงาน โดยทั่วไปแล้ว ชีวิตมนุษย์เงินเดือน คงไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้มาก หรือแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย เพราะหลักการทำงานของเรา เป็นการทำงานเพื่อองค์กร เพื่อบริษัท และผลตอบแทนสำหรับพนักงาน คือการได้รับเงินเดือนในทุกๆเดือน และไม่ว่าจะทำงานเป็นพนักงานไปอีก 5 ปี หรือ 10 ปี เงินเดือนที่ได้รับก็ไม่ต่างไปจากเดิมมาก บางบริษัท อาจมีการปรับฐานเงินเดือนทุกปี หรือบางบริษัทอาจจะ 5 ปีค่อยปรับ ก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการและข้อกำหนดของบริษัทนั้นๆ แต่การทำงานของทุกคนก็ยังคงต้องมุ่งมั่น เพื่องาน เพื่อบริษัท ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าผลตอบแทนที่ได้จะคุ้มค่ากับความทุ่มเทหรือไม่ก็ตาม
บางคนทำงานตั้งแต่หนุ่มจนแก่  ก็ยังไม่สามารถมีเงินเก็บเพียงพอไว้ใช้จ่ายยามแก่ชรา ยิ่งคนชนชั้นแรงงาน ขยันแทบตายไม่ว่าจะควงกะ ทำโอที เพื่อให้ได้เงิน ทำทุกอย่างก็เพื่อเงิน เพื่อครอบครัว แต่สุดท้ายเมื่อบริษัทขาดทุน จะล้มละลาย หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ คนที่โดนปลดส่วนใหญ่ก็เป็นพนักงานชั้นล่าง ทั้งๆที่เงินเดือนก็น้อย ทำงานก็เหนื่อยแทบขาดใจ เงินเก็บก็แทบจะไม่เหลือ ยังจะต้องมาโดนบริษัทตัดสินอนาคตให้กลับไปนอนอยู่บ้าน แล้วจะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจ เราเลือกที่จะเข้ามาเป็นแรงงานด้วยตัวเราเอง แต่ตอนออกจากการเป็นแรงงานเรากลับไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ  แล้วคิดว่าสภาพความเป็นอยู่แบบนี้ เป็นสิ่งที่เราต้องการและพึงปรารถนาแล้วหรือยัง เราควรคิดที่จะเปลี่ยนให้เราเป็นคนที่มีสิทธิ์เลือกมีสิทธิ์ตัดสินใจบ้างไหม
คนที่กล้าเปลี่ยนคือคนที่ไม่รอให้คนอื่นมาเปลี่ยนชีวิตตนเอง กล้าที่จะเปลี่ยนไปสู่อาชีพที่มั่นคง งานที่เรามีสิทธิ์ในการตัดสินใจ มีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อย มากกว่าทำงานบริษัทที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีการปลดพนักงาน แล้วเราจะเป็นหนึ่งในพนักงานที่จะโดนปลดหรือไม่ ดังนั้นเมื่อเรามีโอกาสเลือก โอกาสตัดสินใจ เราควรลงมือทำก่อนที่จะรอให้ อำนาจการตัดสินใจไปตกอยู่ที่ฝ่ายตรงข้ามแทน และโอกาสของคนเรามันก็มีเข้ามาไม่บ่อยนัก ถ้าเราคิดที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตตั้งแต่ตอนนี้ก็ควรเปลี่ยน ควรเริ่มคิด เริ่มตัดสินใจ ไม่ใช่รอให้โอกาสหมดไปจากตัวเรา
กลัวการเปลี่ยนแปลง
ถ้าจะบอกให้อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง มันก็คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมนุษย์เรามีความกลัวอยู่ในตัวทุกคน และความกลัวก็เป็นสิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้นเพื่อมาเป็นตัวยับยั้งสติให้เรารู้จักคิดพิจารณาไตร่ตรอง จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็มักจะกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เช่นอยากได้กระเป๋าสวยๆสักใบ พอจะก็กลัวแพง สุดท้ายก็ไม่ซื้อ ,จะเดินไปหน้าปากซอยก็กลัวเหนื่อย สุดท้ายก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์, จะกินของหวานก็กลัวอ้วน, จะงดกินข้างมื้อเย็น ก็กลัวหิว, จะเข้ามหาวิทยาลัย ก็กลัวเจอเพื่อนไม่เหมือนมัธยม เป็นต้น จะเห็นว่าแทบทุกการดำเนินชีวิตจะต้องมีความกลัว แต่สุดท้ายเราก็อยู่กับมันได้ และบางครั้งเราก็ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญกับความกลัวได้ เช่น การเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เรากลัวที่จะเจอเพื่อนไม่ดี แต่เราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้(หรือเราจะไม่เรียนดีล่ะ) อีกกรณี คือ กลัวชีวิตวัยทำงาน เพราะการทำงานมีแต่เรื่องราวจริงๆ ทำจริงผิดจริง โดนหักเงินเดือนจริง ไม่ใช่แค่โดนตัดคะแนน ถ้าผิดพลาดมากๆอาจถึงขั้นไล่ออกไม่ใช่แค่การสอบตกในวิชานั้น นี่แหละชีวิตการทำงานเป็นอีกหนึ่งชีวิตของความกลัวที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เราสามารถที่จะกลัวได้ แต่อย่ากลัวมากเกินไปจนกลายเป็นหวาดกลัว หรือหวาดระแวง สุดท้ายมันจะกลายเป็นการปิดกั้นโอกาสของตนเอง เราจึงควรมีความกลัวอย่างมีสติ และบางทีสิ่งที่เราคิดสิ่งที่เรากลัว มันก็ไม่อาจเป็นไปอย่างที่เราคิดเสมอไป การเปลี่ยนแปลง หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึงนั้น มันอาจจะเป็นผลดีหรือเป็นเรื่องราวดีๆก็ได้ สิ่งสำคัญคือ สติ ที่พร้อมจะตั้งรับกับทุกสถานการณ์ที่จะเขามาในชีวิตเรา เราอาจกลัวการย้ายงาน กลัวการย้ายแผนก กลัวการถูกไล่ออก แต่ลองคิดในมุมของคนที่พร้อมรับปัญหาดูบ้างว่า แผนก หรือตำแน่งงานที่เราถูกย้ายไปนั้น อาจเจอเพื่อนร่วมงานที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม เจอหัวหน้าที่ใจดีกว่าเดิม หรือเจองานงานที่ทำให้ประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม ถ้าเรามัวแต่กลัว เราอาจจะพลาดโอกาสดีๆเหล่านี้ไปก็ได้ เพราะไม่ว่าจะช้าจะเร็ว หรือแม้แต่ตลอดเวลา ชีวิตย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ
การเปลี่ยนแปลงนั้นควรจะเป็นการเลี่ยนแปลงสิ่งดีๆ เริ่มต้นเรื่องราวดีดๆ มากกว่าการเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่หากเรากล้าที่จะเปลี่ยน เราก็จะไม่เผชิญกับความกลัว กลัวได้ตาอย่ากลัวมากจนเกินไป เพราะบางที่โอกาสดีๆที่รอเราอยู่อาจตกไปอยู่ในมือของคนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือก อยู่ที่เราตัดสินใจ ว่าเราจะยอมเป็นฝ่ายเลือกเป็นฝ่ายตัดสินใจก่อน หรือจะยอมให้ความกลัวเข้ามาครอบคลุมชีวิตเราจนเรากลายเป็นผู้ถูกเลือก และไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ

เปลี่ยนที่ตัวเรา
                แน่นอนอยู่แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เรานั้นไม่สามารถบังคับใครได้ หรือถ้าบังคับได้มันก็เหมือนเอาความทุกใจไปให้คนอื่น ดังนั้น เราควรเริ่มเปลี่ยนจากจุดที่ง่ายที่สุด นั้นก็คือตัวเรา ใช้ตัวเราเป็นมาตรฐานของตัวเราเอง สิ่งไหนที่เราควรเปลี่ยนเราก็ลองเริ่มเปลี่ยน ไม่ใช่รอให้คนอื่นมาเปลี่ยนให้เราหรือเรารอการเปลี่ยนแปลงจากคนอื่น หลักของการเปลี่ยนแปลงนั้นสามารถนำมาให้ได้หลากหลายกับเรื่องราวต่างๆในชีวิต
ถ้าหากวันหนึ่งเพื่อนเริ่มตีตัวออกห่าง สุดท้ายก็เลิกคบเราไป คนเราจะคิดอยู่สองแบบคือ คนที่มองตัวเองก่อนว่าเราทำอะไรผิด และก็พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น แต่ก็มีอีกประเภทคือ เลิกคบก็เลิกคบ ช่างมัน เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แล้วก็ต่างคนต่างอยู่   ถ้าหากเราคิดแบบแรก หมาถึงว่าเรายอมรับในข้อปกพร่องของตัวเราและพร้อมที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้มิตรภาพที่ดีคืนกลับมา หรืออาจเป็นการที่เราได้เปิดโอกาสให้ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ว่าสรุปแล้ว เราต้องปรับปรุงหรือเพื่อนคนที่เลิกคบเราไปที่ต้องปรับปรุง ถ้าหากเราเลือกวิธีที่สอง คือเราไม่ยอมแม้แต่ที่จะมองดูตัวเราเองว่ามีข้อผิดพลาดอะไรหรือไม่ บางทีเราก็อาจจะไม่พบความจริงที่ว่า จริงๆแล้วเราถูกหรือเราผิด

หลักการทำงานก็เหมือนกัน ถ้าเราอยากให้งานดำเนินไปได้เร็ว อยากสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต ก็ควรที่จะเริ่มลงมือเปลี่ยนจากตัวเรา เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนมุมมอง และเปิดใจรับโอกาสการทำงานหลากหลายรูปแบบ เพราะบางทีงานที่เราเคยไม่ชอบอาจเป็นงานที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด และเป็นงานที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จกับชีวิตได้มากที่สุดเช่นกัน เพราะหากเราไม่ลงมือที่จะเปลี่ยนตั้งแต่ตอนนี้ ก็ไม่สามารถมีใครที่จะเปลี่ยนตัวเราได้ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา