อย่ากลัวที่จะล้มเหลว

จุดเล็กๆของความล้มเหลว คือความลังเลใจในทุกๆเรื่อง

 คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น จะต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองก่อน หากขาดความเชื่อมั่นแม้แต่ตัวเราเองแล้วก็เป็นไปได้ยากที่จะทำอะไรได้สำเร็จด้วยตัวเรา ต่อมาคือต้องมีความเชื่อและมั่นคงในเป้าหมายที่ตนเองเลือกไว้ อย่าเป็นคนที่มีจิตใจโลเล เลือกไม่ได้ หรือแบบเลือกพี่เสียดายน้อง ประมาณว่าเรียนหมอ หรือเรียนกฎหมาย บัญชีก็ดีนะ แต่วิศวะก็ไม่เลว บริหารธุรกิจก็น่าสน ถ้าคิดที่จะเลือกก็ให้เลือกไปเลย ไม่ใช่พอเรียนๆไปแล้วบ่น รู้แบบนี้เรียนบัญชีดีกว่า มันเหมือนเป็นการบ่งบอกว่าตัวเราไม่มีความพยายามและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเลือกเลย ถ้าหากเราเลือกที่จะทำธุรกิจ เราก็ต้องทำมันให้เต็มที่ มุ่งมั่นให้เต็มที่ พยายามให้เต็มที่
หากเรามัวแต่ลังเลใจกับการตัดสินใจของตนเองว่าคิดถูกแล้วใช่ไหมที่เลือกทำธุรกิจ ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่เชื่อในความสามารถของตัวเอง ให้เราลองมองมุมกลับว่า บนโลกนี้ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วทำอะไรได้ทุกอย่าง งานทุกอย่าง เรื่องทุกเรื่องกว่าที่คนเราจะทำเป็นนั้นต้องมีการเรียนรู้การลองผิดลองถูก ต้องแลกกับความผิดหวังเสียใจมากมากมาย อย่างนักวิทยาศาสตร์กว่าเขาเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จได้ เขาต้องผ่านความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราต้องมั่นใจว่าเราก็จะต้องทำได้ และต้องทำให้สำเร็จ
สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อเรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็ควรเพิ่มความเด็ดเดี่ยว และเด็ดขาด เพราะไม่ว่าเราจะลงมือทำอะไร หากยังมัวแต่เลือกไม่ได้ ไม่ตัดสินใจ พูดง่ายๆคือขาดความเด็ดขาดทางความคิด ถ้าหากเครื่องบินกำลังจะตก เราจะเลือกที่จะกระโดดร่ม หรือ เลือกที่จะอยู่บนเครื่องบิน  ทุกอย่างย่อมต้องมีทางเลือกเสมอ  เพียงแต่เราต้องมีความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว ถ้าเราเลือกที่จะทำธุรกิจ สิ่งที่ต้องมีเลยคือความเด็ดขาดในการตัดสินใจ เพราะมันจะทำให้เราสามารถเดินหน้าไปกับมันอย่างมั่นใจและไม่กังวล
จากจุดเล็กๆเหล่านี้ดังที่กล่าวมาข้างต้นถ้าเราสามารถมีได้ครบ ความสำเร็จย่อมมาถึงเราแน่นอน
บิล เกตส์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า “จงอย่าเปลี่ยนใจ กลับไปกลับมา แต่จงใช้เวลาคิดให้ดี และตัดสินใจให้เด็ดขาด โดยไม่ต้องย้อนคิดถึงเรื่องเดิม หากไม่จำเป็น”


บิล เกตส์ มีชื่อว่า วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน
บิล เกตส์ เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ ในเมืองซีแอทเทิล เขาได้พัฒนาทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม
ช่วงมหาวิทยาลัย บิล เกตส์ ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาได้รู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ นับตั้งแต่นั้นมาเส้นทางชีวิตของเขาก็เข้าสู่มหาเศรษฐี โดยนิตยสาร ฟอร์บ ยกย่องว่าเขาเป็นที่ 1 ของโลกติดต่อกันหลายปี สิ่งที่ทำให้สำเร็จไม่ได้มาจากโรงเรียนที่เขาเรียน แต่มาจากความคิดของเขา การที่เขาเป็นที่หนึ่งไม่ได้มาจากตำราใดๆ หากแต่มาจากความจริงจัง มุ่งมั่น และเส้นทางที่ก้าวเดินอย่างมั่นคงอย่างจริงจัง
เคยมีคนถามว่าทำอย่างไรเขาถึงประสบความสำเร็จและรวยมหาศาลเช่นทุกวันนี้ และบิล เกตส์ จึงพูดถึงเรื่องกฎ 11 ข้อเอาไว้ว่า
กฎข้อที่ 1 ชีวิตนี้ไม่ยุติธรรมนักหรอก ทำความเคยชินกับมันซะ (จงยอมรับในตัวเอง)
กฎข้อที่ 2 โลกไม่สนใจหรอก ว่าคุณจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่โลกนี้คาดหวัง “ความสำเร็จ” ที่เกิดจากความมั่นใจของคุณต่างหาก (คำขยายความของมันก็คือ จงทำมันให้มันสำเร็จด้วยตัวคุณเอง)
กฎข้อที่ 3 ไม่มีทางที่คุณจะทำเงินได้ปีละ 60,000 เหรียญ (เกือบ 2 ล้านบาท) ทันทีที่พึ่งจบมัธยม และอย่าหวังเลยว่าจะได้เป็นประธานบริษัทที่มีรถประจำตำแหน่งพร้อมโทรศัพท์ในรถส่วนตัวด้วย (การที่เราจะได้มาซึ่งสิ่งที่หวังนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และอย่าพึ่งฝันว่าจะได้อะไรมา โดยที่ไม่ได้ต่อสู้กับมันเสียก่อน)
กฎข้อที่ 4 ถ้าคุณคิดว่า อาจืารย์กำลังสอนบทเรียนอันน่าเบื่อ ลองไปทำงานแล้วเจอกับเจ้านายสิ (ลองไปทำอะไรจริงๆสิ เราจะรู้ว่าความน่าเบื่อแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร)
กฎข้อที่ 5 การคิดคำแสลงใหม่ๆไม่ใช่เรื่องผิด เพราะปู่ย่าตายายของคุณก็เคยทำมาก่อน (จงอย่ากลัวที่จะคิดผิด เพราะใครก็เคยผิดกันมาทั้งนั้น)
กฎข้อที่ 6 ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของคุณไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ เลิกคร่ำครวญเกี่ยวกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว แต่จงเรียนรู้จากมัน (เอาความผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียน แล้วหยุดร้องไห้เสียใจซะที)
กฎข้อที่ 7 ก่อนที่คุณจะเกิด พ่อแม่ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนตอนที่คุณรู้สึกตอนนี้ พวกเขาต้องทำงานอย่างหนัก มาจ่ายบิลต่างๆต้องซักเสื้อผ้าให้กับคุณ พวกเขาต้องอดทนฟังคุณคุยอวดในเรื่องไร้สาระ ดังนั้นถ้าคุณคิดจะทำเรื่องใหญ่ๆอะไรก็ตาม ช่วยเก็บตู้เสื้อผ้ารกๆของคุณให้สะอาดเสียก่อน
(ก่อนที่เราจะโทษความผิดพลาดหรือโยนความผิดอะไรไปที่ใครนั่น เราจงย้อนมามองตัวเราเองให้ดีเสียก่อนแล้วเราจะรู้ว่าที่แท้มันมาจากไหน)
กฎข้อที่ 8 ชีวิตในโรงเรียนอาจตัดสินคุณว่าเป็นผู้ชนะหรือแพ้ แต่ชีวิตจริงนั้น “ไม่ใช่” บางโรงเรียนสอนการเป็นผู้แพ้ด้วยซ้ำไป แถมยังให้โอกาสคุณมากมายในการทำสิ่งที่ถูกต้อง (อย่ายึดติดกับความสุขชั่วครั้งชั่วคราว)
กฎข้อที่ 9 ชีวิตไม่ได้แบ่งเป็นเทอมๆ ไม่มีช่วงซัมเมอร์ให้คุณไปค้นหาตัวตน (จงทำงานในทุกลมหายใจ และจงเอาเวลางานมาเป็นความสุขเสีย แทนที่จะมองว่ามันคือ ภาระและรอคอยที่จะพักผ่อน)
กฎข้อที่ 10 สิ่งที่เกิดขึ้นในโทรทัศน์ไม่ใช่ชีวิตจริง เพราะในชีวิตจริงผู้คนต้องรีบเช็คบิลจากร้านกาแฟ และตรงดิ่งไปที่ทำงาน <เราจะเห็นว่าละครส่วนใหญ่ คนมักจะออกจากที่ทำงานมาคุยกันที่ร้านกาแฟ>
(จงเข้าใจความจริงเอาไว้ว่าที่แท้มันอยู่ตรงหน้าเรา มันไม่ได้เหมือนอย่างที่เราฝันหรอก หากเรารู้จักมันจริงๆเราก็จะชนะชีวิตได้ไม่ยาก)
กฎข้อที่ 11 เป็นมิตรกับความ เนิร์ด แล้วชีวิตคุณจะไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครอีกต่อไป (เราอยากเป็นอิสระหรืออยากเป็นข้าทาสบริวาร ก็จงเลือกเอา)

                แล้วเรามีแนวคิดตรงใจกับกฎ 11 ข้อของบิล เกตส์ บ้างหรือไม่ ถ้ายังไม่มีลองนำหลักแนวคิดต่างๆเหล่านี้มาคิดดู อาจจะทำให้เราพบกับ ความสำเร็จ แบบที่  บิล เกตส์เป็นก็ได้