คนเราต้องมีฝัน

ความฝัน
คนเราทุกคนย่อมมีฝัน และสามารถฝันได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตครอบครัว ทรัพย์สินเงินทอง หรือฝันถึงอาชีพหน้าที่การงานในอนาคต  แต่ขนาดความฝันของแต่ละคนไม่มีทางเท่ากันอยู่แล้ว และการที่ใครสักคนจะทำตามฝันสำเร็จก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดความฝันเช่นกัน บางคนฝันเพียงแค่อยากมีบ้านหลังเล็กๆ ราคาประมาณ 2 ล้าน แต่เขากลับใช้เวลาสานฝัน 10 ปี บางคนฝีนอยากมีบ้านราคาหลัง 20 ล้าน แต่เขาใช้เวลาสานฝันเพียง 5 ปี ฝันนั้นจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จขึ้นอยู่ที่ตัวเรา แต่อย่างน้อยคนที่มีความฝันก็ยังดีกว่าคนไม่มีฝัน ไม่รู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเอง ยิ่งคนเรามีความฝันที่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ ความสำเร็จที่เกิดจากความฝันก็ย่อมมีมากเท่านั้น เหมือนอย่าง John F. Kennedy กล่าวไว้ว่า
 “We need men who can dream of things that never were.”
(เราต้องการฝันถึงสิ่งที่ยังไม่เคยมีมาก่อน)
เดือนพฤษภาคมปี 1961 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้  แถลงต่อหน้าที่ประชุมคองเกรสว่า เขาจะส่งมนุษย์คนแรกไปเหยียบดวงจันทร์ให้ได้ ภายในทศวรรษที่ 60 และเมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่ปี ประชากรทั่วโลก ก็ต้องตื่นเต้นระทึกใจ เมื่อ นีล อาร์มสตรอง ก้าวเท้าลงจากยาน Apollo 11 พร้อมประกาศว่า
“นี่เป็นก้าวเล็กๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ ของมวลมนุษยชาติ”
                แต่สำหรับเราที่ไม่ได้เป็นประธานาธิบดี ไม่จำเป็นต้องสร้างฝันที่ใหญ่โตขนาดนั้นก็ได้ เพียงแค่ฝันให้แตกต่างจากชีวิตที่เป็น เช่น ตั้งแต่เกิดมาญาติพี่น้องทั้งตระกูลไม่เคยมีใครเรียนจบปริญญาเอกเลยสักคน ฉันเลยตั้งความฝันไว้ว่า จะเป็นคนแรกของตระกูลที่เรียนจบปริญญาเอก หรือตั้งแต่ต้นตระกูลมาไม่เคยมีใครได้จับรถเบ็นซ์ ก็ลองตั้งเป้าไว้ว่า จะทำงานหาเงินซื้อรถเบ็นซ์ป้ายแดงสักคันให้ได้ภายใน 2 ปี  เพียงเท่านี้ก็เป็นฝันที่แตกต่าง  คนเราไม่มีถูกไม่มีผิดสำหรับความฝัน ขอแค่ให้มีฝันก็พอ




เมื่อมีฝันก็ต้องลงมือทำ
                คิดแล้วไม่ทำ คือฝันกลางวัน แต่ทำโดยไม่คิดคือฝันร้าย
                                                                                                                                                ภาษิตญี่ปุ่น

คนที่มัวแต่คิด มัวแต่ฝัน มัวแต่สร้างวิมานในอากาศของตนเองนั้น หากแต่ยังไม่เคยลุกที่จะมาปั้นฝันนั้นให้เป็นจริง สิ่งที่ฝันก็คงไม่มีทางเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ และการลงมือทำโดยขาดความรอบคอบ ขาดความคิดที่ถี่ถ้วน ก็จะส่งผลในทางตรงข้ามคือ แทนที่จะปั้นฝันสำเร็จ กลับกลายเป็นการผลักความฝันให้ไกลตัวออกไปมากยิ่งขึ้น เหมือนยิ่งทำก็ยิ่งยุ่ง แต่อาจเป็นเพราะเราลืมไปว่าคนเรานั้นสามารถสร้างสรรค์และทำลายโลกใบนี้ได้ด้วยความคิดของเราเอง และสุดท้ายคนที่จะได้รับผลจากความคิดและการกระทำของเราก็คือตัวเราเอง
                หากเรามีฝัน เราก็ควรสร้างฝัน เมื่อเราสร้างฝันเราก็ควรปั้นฝันนั้นให้สำเร็จ โดยคำนึงถึงหลักความถูกต้องและทำด้วยสติมีแผนการ ไม่เช่นนั้นฝันที่จะสร้าง อาจเป็นฝันที่เราทำลายด้วยมือเราเองก็ได้ แล้วราคิดว่าตอนนี้เรามีความฝันแล้วหรือยัง และจะยังคงปล่อยให้ความฝันนั้นเป็นเพียงวิมานในอากาศที่ไม่มีตัวตนไปอีกนานแค่ไหน คนเราถ้าคิดแล้วไม่ลงมือทำอะไรก็ไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ ก็เหมือนกับคนที่จะทำความสะอาดบ้าน คิดไว้ว่าวันหยุดอาทิตย์นี้จะทำความสะอาดบ้าน พอถึงวันหยุด รู้สึกเพลียจากการทำงาน ก็เลยผัดผ่อนไปเป็นวันพรุ่งนี้ พอวันพรุ่งนี้ติดงานก็ผลัดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเป็น 3 สัปดาห์ ก็ยังไม่ได้ทำ บ้านก็รกกว่าเดิม ฝุ่นเยอะกว่าเดิม เพราะบ้านมันไม่ได้สะอาดจากความคิดที่เราคิดแค่ว่าจะทำความสะอาดมันจากเมื่อสามสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่บ้านมันจะสะอาดได้ก็ต่อเมื่อเราลงมือทำ
                เรื่องเล็กๆเพียงแค่การทำงานบ้านยังทำให้เราผลัดผ่อนไปได้เรื่อยๆ แล้วถ้าเป็นความฝันที่ใหญ่ๆ ยิ่งเราใช้คำว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยทำมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเหมือนเดินห่างไกลออกมาจากความฝันมากเท่านั้น
งานสร้างฝัน
“คนที่ไม่ตั้งใจทำงานที่อยู่ตรงหน้าให้ดี ก็ไม่มีสิทธิ์พูดถึงความฝัน”
                                                                                                                                …ซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง Bambino…
บอกเล่าถึงนักศึกษาหนุ่มที่มีความเชื่อมั่นในฝีมือการทำอาหารอิตาเลียนของตัวเอง เขาทะนงตัวในความเก่งของตนเอง แต่แล้วเมื่อเขาต้องไปฝึกงานในร้านอาหารจริง เขากลับได้ทำเพียงแค่งานระดับลูกมือ เตรียมอาหาร ล้างจาน พนักงานเสิร์ฟ และทิ้งขยะเท่านั้น เขาไม่ได้ทำแม้แต่จับกระทะ เขาต้องทนทำงานแบบซังกะตาย จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อหัวหน้าเชฟได้พูดประโยคบาดใจเด็กหนุ่มดังประโยคข้างต้น จนทำให้เด็กหนุ่ม ตระหนักได้ว่า
คนเราไม่ควรทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว                                  การเรียนรู้งานทุกระดับที่ต้องก้าวผ่าน
 เป็นส่วนประกอบสำคัญ                                                   ของการก้าวไปถึงเป้าหมายได้ทั้งนั้น
                ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร เราควรที่จะเรียนรู้งานทุกระดับ เรียนรู้จากทุกคนที่มีประสบการณ์ เพราะการทำงานหากมีการฝึกฝน มีการพัฒนาย่อมก่อให้เกิด ความชำนาญและทักษะใหม่ๆเสมอ เราอย่าทะนงในความเก่งความสามารถของตนเอง เพราะว่า  “วันนี้คุณอาจเก่ง แต่พรุ่งนี้อาจมีคนเก่งกว่าคุณ เพราะฉะนั้นคนใดก็ตามที่ภูมิใจว่าเองตนเก่ง จงจำเอาไว้ได้เลยว่า ความหายนะใกล้มาถึงตัวคุณแล้ว ความโง่คลืบคล้านมาใกล้ตัวคุณแล้ว” (ธนินท์ เจียรวนนท์)

                หน้าที่ทุกหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากงาน ย่อมมีความสำคัญกับตำแหน่งนั้นๆ หากเราทำงานโดยคิดถึงแต่ตำแหน่งหน้าที่ งานที่ออกมาคงขาดคุณภาพ การคาดหวังสิ่งต่างๆจากคนอื่น หรือการทำงานเพื่อหวังตำแหน่ง ยิ่งทำก็ยิ่งทุกข์ใจ การทำงานควรทำด้วยหัวใจที่เปิดรับความเห็น และพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกเรื่องราวประสบการณ์มากกว่ามานั่งบ่นว่า งานที่ได้รับมอบหมายไม่ตรงตามความสามารถของตนเอง